สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เรามองข้าม
ตอน 3


โดย
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

๓. กำหนดรู้ลงที่จิต

ทำสติรู้ไว้ที่จิต แล้วทำสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ไม่ว่าเราจะก้าวไปทางไหน มีสติ เดินเรารู้ นั่งเรารู้ ยืนเรารู้ นอนเรารู้ ดื่ม ทำ พูด คิด เรารู้ ทำสติรู้เพียงอย่างเดียว การปฏิบัติโดยวิธีนี้ฝึกจนคล่องตัว พยายามทำสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อยู่ทุกลมหายใจ ในเมื่อเราฝึกจนคล่องตัวแล้ว ใน ชั้นต้นๆ เราอาจตั้งใจกำหนดจิตตามรู้ แต่เมื่อเราฝึกจนคล่องตัวแล้วสติของเราจะทำหน้าที่ของตัวเอง การปฏิบัติแบบนี้เราอาจไม่ไปนึกว่าก้าวเดินหนอก็ได้ เพราะเมื่อเวลาเราเดิน จิตเราย่อมรู้เพราะจิตเป็นผู้สั่ง เวลาเรายืน จิตของเราย่อมรู้เพราะจิตเป็นผู้สั่ง เวลาเรานอน จิตย่อมรู้เพราะจิตของเราเป็นผู้สั่ง เวลาเรานั่ง จิตเราย่อมรู้เพราะจิตของเราเป็นผู้สั่ง การรับประทาน ดื่ม ทำ พูด จิตเขาก็ย่อมรู้เพราะเขาเป็นผู้สั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิดที่เกิดขึ้น จิตเขาย่อมรู้เพราะเขาเป็นผู้คิดเสียเอง วิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับแบบนี้ เราทำสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เพียงแค่นี้ แต่ขอท่านผู้ฟังอย่าได้นึกว่าเป็นของง่าย การทำสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ถ้าใครฝึกได้จะได้สมาธิ ได้พลังทางสมาธิ ทางสติ มาสนับสนุนการงานอันเกี่ยวเนื่องด้วยชีวิตประจำวันของเราได้เป็นอย่างดี และอีกอย่างหนึ่ง ปัญหาขัดข้องในการบำเพ็ญสมาธิจะไม่มี ในเมื่อเราตั้งใจปฏิบัติตามแบบที่ ๓ นี้ คือ ทำสติกำหนดตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทำทุกลมหายใจ ไม่ว่าเราจะก้าวไปทางไหน ทำอะไร คิดอะไร พูดอะไร ทำสติลูกเดียว ในขณะที่เราทำงานอยู่ในสำนักงาน เราทำสติลูกเดียว เขียนหนังสือรู้ว่าเขียน อ่านรู้ว่าอ่าน คิดรู้ว่าคิด พูดรู้ว่าพูด ทำสติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แล้วเราจะสามารถทำสติให้เป็นสมาธิ ให้เกิดมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา และได้ฌานอย่างที่พระท่านสอนได้เหมือนกัน

ทีนี้ปัญหามีอยู่ว่า สมาธิอย่างแท้จริงจะไปเกิดขึ้นเวลาไหน โดยวิสัยของผู้ฝึกหัดทำสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อยู่ทุกลมหายใจ เวลาเขานอนลงไป เขาต้องทำสติรู้อยู่กับการนอน เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น เขาจะต้องทำสติรู้กับความคิดที่เกิดขึ้น เขาจะกำหนดตามรู้ความคิดของเขาไปจนกว่าจะนอนหลับ ทีนี้พอหลับลงไปแล้วแทนที่จะหลับมืดอย่างธรรมดา จิตกลับจะสงบนิ่ง ว่าง สว่างโพลงขึ้นมา ผู้นั้นจะรู้สึกว่าตนเองนอนไม่หลับตลอดคืน ถ้าหากว่ามีปัญหาอันใดเกี่ยวกับวิชาความรู้และการงาน จิตเขาจะนำไปพิจารณาค้นคว้าแก้ปัญหานั้นๆ ในขณะนอนหลับ มีลักษณะเหมือนกับนอนหลับแล้วฝันไป อันนี้คือผลที่จะพึงเกิดขึ้นจากการทำสมาธิแบบนี้ และการทำสมาธิแบบนี้ เป็นวิธีการฝึกจิตให้มีพลังงาน เพื่อเราจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของจิตใจ เราสามารถจะมีสติปัญญาแก้ไขได้ เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องชีวิตประจำวัน เราจะสามารถแก้ไขได้ เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการงาน เราจะสามารถแก้ไขปัญหานั้นๆ ได้ อันนี้เป็นวิธีการฝึกสมาธิ เพื่อให้มีจิตมั่นคง คือ มีสมาธิ มีสติปัญญา สามารถที่จะรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน

การทำสมาธิได้กุศลมากกว่าชนิดอื่น

ในเมื่อฝึกสมาธิ จิตสงบเป็นสมาธิ ได้สติสัมปชัญญะ ได้ความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี แต่ถ้าสมาธิมันมีพลังงานแล้ว มันทำให้เกิดปัญญาสามารถแก้ไขปัญหาจิตใจของตนเองได้ดี นี่อานิสงส์มันอยู่ตรงนี้ ที่ว่ามีอานิสงส์มากกว่าสิ่งอื่น ก็เพราะเหตุว่าการทำสมาธิมันทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน เราจะเข้าถึงธรรมะอย่างแท้จริงได้ ก็อาศัยการทำสมาธิอย่างเดียวเท่านั้น นอกนั้นเป็นแค่เพียงความตั้งใจ ความละอายต่อสังคม เราไม่แก้ผ้าเดินตามถนนเพราะความละอายต่อสังคม นี่ถ้าจะเปรียบเทียบการทำความดีของเรามันอยู่ในระดับนี้ ถ้าไม่ทำก็อายหมู่บ้าง อายสังคมบ้าง ทำนองนี้ คือว่าจิตของเรามันยังไม่ถึงขั้นทำดีโดยอัตโนมัติ ทีนี้ถ้าเราฝึกจิตให้มีสมาธิ สมาธินี่จะเป็นพลังงาน สนับสนุนเรื่องชีวิตประจำวันของเรา อย่างคนมีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ พอคิดงานปั๊บ จิตมันจะคิดปั๊บ ๆ ๆ ของมันไปเอง ทีนี้ถ้าคนไม่มีสมาธิ ไม่มีสติสัมปชัญญะ พอคิดอะไรแล้วสมองมันทื่อ งานมันยุ่งก็ว่ายุ่ง ในที่สุดก็เบื่องาน อะไรทำนองนี้