หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

เที่ยวหนองคาย ลุ้นระทึกกับ"บั้งไฟพญานาค"!!!


บรรยากาศยามเช้าของสะพานมิตรภาพไทย-ลาว

จริงๆ แล้วในช่วงเวลาปกติ คนอาจจะไม่นึกถึงจังหวัดหนองคายนัก แต่ถ้าถึงเทศกาลออกพรรษาเมื่อไรละก็ ผู้คนจากจังหวัดทั้งใกล้ไกลก็จะพากันหลั่งไหลมายังจังหวัดนี้เพื่อรอชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ลูกไฟปริศนาที่จะเกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงบริเวณอำเภอโพนพิสัย ปากคาด บึงกาฬ ศรีเชียงใหม่ สังคม และอำเภอโซ่พิสัยบางส่วน แต่นอกจากในเรื่องของบั้งไฟพญานาคแล้ว จังหวัดหนองคายก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากที่น่าจะไปชม

สำหรับจังหวัดหนองคายนั้น มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขงเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร จึงน่าจะเรียกได้ว่า เป็นเมืองสงบแห่งลุ่มน้ำโขงที่ยังมีวัฒนธรรมและประเพณีที่ยึดเหนี่ยวอยู่กับพุทธศาสนา และเมื่อพูดถึงเรื่องพุทธศาสนา “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ก็นึกไปถึงพระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดหนองคาย นั่นก็คือ “หลวงพ่อพระใส” แห่งวัดโพธิ์ชัย พระพุทธรูปซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งตามตำนานบอกว่า พระธิดา 3 พระองค์ของพระไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แผ่นดินล้านช้าง ได้เป็นผู้สร้างพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และให้ชื่อพระพุทธรูปตามนามของตนเองไว้ว่า พระสุก พระเสริม และพระใส





วัดโพธิ์ชัย ที่ประดิษฐานของหลวงพ่อพระใส พระคู่บ้านคู่เมืองหนองคาย

เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ไทยเราไปตีเมืองล้านช้างเพื่อปราบกบฏ และเมื่อยกทัพกลับก็ได้นำเอาพระพุทธรูปจากเมืองล้านช้างมา ซึ่งรวมถึงพระสุก พระเสริม และพระใสด้วย การอัญเชิญพระพุทธรูปมายังประเทศไทยนั้น ทำโดยการล่องแพไม้ไผ่ออกมาตามลำน้ำงึมของประเทศลาว และเมื่อล่องแพมาถึงปากน้ำงึมในส่วนที่ติดกับแม่น้ำโขงนั้นก็ได้เกิดพายุพัดจนแพที่ประดิษฐานพระสุกได้พังลง ทำให้พระสุกจมอยู่บริเวณปากน้ำงึม ยังคงเหลือแต่พระเสริม และพระใส แต่เมื่อจะอัญเชิญพระทั้งสององค์มาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ เกวียนของพระใสก็ได้หักลงตรงบริเวณวัดโพธิ์ชัย เมื่อซ่อมแล้วเกวียนก็หักอีก วัวที่เทียมเกวียนก็ไม่ยอมเดิน หลวงพ่อพระใสจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยด้วยเหตุนี้ ส่วนพระเสริมสามารถอัญเชิญลงมายังพระนครได้ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดปทุมวนาราม ใกล้กับสยามสแควร์นี่เอง

กราบสักการะหลวงพ่อพระใสเรียบร้อยแล้วก็อย่าลืมเดินดูจิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์ เพราะภาพวาดที่นี่ไม่เหมือนใคร คือนอกจากจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เทวดา นางฟ้า ที่พบเห็นได้ตามอุโบสถทั่วไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องราวของตำนานหลวงพ่อพระใส ภาพประเพณีของชาวอีสานที่เรียกว่าฮีตสิบสอง และภาพชีวิตของชาวหนองคาย ซึ่งมีทั้งเรื่องของบั้งไฟพญานาค การแข่งเรือยาว เป็นต้น แต่ที่ว่าไม่เหมือนใครก็คือเป็นภาพวาดที่เป็นแสดงถึงความเป็นยุคปัจจุบัน สังเกตได้จากรายละเอียดในภาพ ทั้งการแต่งตัวของผู้คน ทั้งยังมีภาพของรถยนต์ การดูหนังกลางแปลง และรายละเอียดอื่นๆ อีกมาก ซึ่ง “ผู้จัดการท่องเที่ยว” รู้สึกว่ามันดูใกล้ตัว และเข้าใจได้มากกว่าแบบเก่าๆ





เทวรูปปางต่างๆ ในศาลาแก้วกู่

กราบนมัสการหลวงพ่อพระใสเรียบร้อยแล้ว ไปเที่ยวกันต่อที่ศาลาแก้วกู่ ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก ศาลาแก้วกู่เป็นศาสนสถานของหลวงปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ ซึ่งมีรูปปั้นขนาดใหญ่เหมือนกับเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแสดงให้เห็นถึงนรก สวรรค์ ผลของการทำความดีความชั่ว และเทวรูปปางต่างๆ มากมาย ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นก็มีขนาดใหญ่โต จนน่าทึ่งในฝีมือของคนสร้าง รูปปั้นของที่นี่จะออกเป็นแนวเทพฮินดู แต่ก็มีส่วนผสมของศาสนาพุทธ ตามความเชื่อที่ว่าหลักคำสอนทุกศาสนา สามารถนำมาผสมผสานได้ ส่วนรูปปั้นที่ดูโดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นรูปปั้นเทวรูปปางนาคปรก ซึ่งเป็นรูปพญานาคมุจลินท์ได้มาขนดหางให้พระพุทธเจ้าได้ประทับนั่ง แล้วแผ่พังพานทั้ง 7 เศียร อยู่เบื้องบนเพื่อเป็นการป้องกันภัย พญานาคนั้นอาจจะดูน่ากลัวไปสักเล็กน้อย เอาเป็นว่าใครที่ชอบอะไรแปลกๆ ก็ลองไปดูกัน

ใกล้เที่ยงแล้วเมื่อ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ออกมาจากศาลาแก้วกู่ เราไปหาร้านอาหารเที่ยงกินกันแถวๆ ริมแม่น้ำโขง ในเขตเทศบาลเมือง ที่เลือกไปกินแถวๆ นั้นก็ไม่ใช่อะไร เพราะตั้งใจว่าเมื่อกินเสร็จแล้วก็จะเดินช้อปปิ้งกันให้สนุกที่ตลาดท่าเสด็จ ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ เดินสะดวกไม่ร้อน เพราะมีหลังคาอย่างดี ส่วนสินค้าก็เป็นสินค้าที่มาจากประเทศในแถบอินโดจีน ไม่ว่าจะเป็นขนม อาหารแห้ง เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องสำอาง หรือจะเป็นเครื่องประดับอย่างเครื่องเงิน หรือของแต่งบ้านแปลกๆ น่าสนใจก็มีเยอะแยะ ไม่น่าเชื่อว่าความยาวของตลาดท่าเสด็จที่ทอดยาวไปตามแม่น้ำโขงประมาณครึ่งกิโลเมตร จะทำให้กระเป๋าสตางค์ของเราเบาไปเยอะทีเดียว





ตลาดท่าเสด็จ หลากหลายสินค้าจากประเทศอินโดจีนมารวมกันอยู่ที่นี่

แต่ถ้ามาหนองคายแล้วสิ่งที่จะพลาดชมไม่ได้ก็คือ “สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว” สะพานที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นไปเพื่อมิตรภาพจริงๆ เพราะยังไม่เคยได้ยินว่าไทย-ลาวจะทะเลาะกันจนต้องปิดด่านกันเป็นการแก้เผ็ดเลยสักครั้ง แต่ถ้าจะไปชมสะพานก็ควรไปในช่วงแดดร่มลมตกยามเย็น เดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกแม่น้ำโขงกลางสะพานมิตรภาพ เดินไปเรื่อยๆ จนถึงป้ายห้ามผ่านที่กลางสะพาน แล้วจึงย้อนกลับมา

ถ้าใครไม่อยากไปแค่กลางสะพาน แต่อยากจะข้ามไปฝั่งลาว เพื่อจะช้อปปิ้งในดิวตี้ฟรีของฝั่งลาว หรือจะเดินทางต่อไปอีกหน่อยเพื่อไปยังเวียงจันท์ ไปชมประตูชัย ก็สามารถทำได้โดยต้องไปทำบัตรผ่านแดนที่ศาลากลางจังหวัดหนองคาย เสียค่าธรรมเนียม 40 บาท อย่าลืมเตรียมรูปถ่ายไปด้วย 2 รูป บัตรผ่านแดนนี้สามารถอยู่ในลาวได้ 3 วัน และใช้ได้เฉพาะการเดินทางไปเมืองชายแดนไทย-ลาวไม่เกิน 25 กม. เท่านั้น ถ้าอยากไปไกลกว่านี้ต้องมีวีซ่าเข้าประเทศลาว





ทางเดินไม้ชั้น 5 บนภูทอก เป็นจุดชมวิวที่สวยงามจุดหนึ่ง

เที่ยวในตัวเมืองกันไปแล้ว ลองออกไปนอกเมืองกันบ้าง ห่างออกไปอีก 163 กม. ไปยังอำเภอศรีวิไล ที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจอย่าง ภูทอก ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร หรือวัดภูทอก ซึ่งความหมายของภูทอกก็คือ ภูเขาที่โดดเดี่ยว โดยในอดีตนั้นตรงบริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ จนพระอาจารย์จวน กุลเชษโฐได้เข้ามาตั้งแหล่งบำเพ็ญเพียร เนื่องจากเป็นสถานที่ที่สงบเงียบ

ทางเดินขึ้นยอดภูทอกมี 7 ชั้นด้วยกัน เส้นทางลาดชันไม่ใช่เล่น แต่ทางวัดได้สร้างบันไดไม้ไว้ให้เดินกันได้อย่างสะดวก ระหว่างทางนอกจากจะมีต้นไม้ร่มครึ้มแล้ว ก็ยังมีดอกไม้ป่าดอกเล็กๆ สีสวยไว้ให้ชมกันเป็นระยะๆ และมีสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมเป็นจุดๆ ดังนั้นผู้ที่ขึ้นมาชมจึงไม่ควรส่งเสียงดัง





หลวงพ่อพระใส ขนาดองค์ไม่ใหญ่นัก แต่เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเมือง

สำหรับชั้นที่ 5 จะมีถ้ำพระวิหาร ซึ่งเป็นชะง่อนหินใหญ่ยื่นออกมาเป็นถ้ำ ทางวัดได้สร้างพระพุทธรูปไว้ให้ผู้คนได้ขึ้นมาสักการะที่นี่ และตรงช่วงนี้จะเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง สามารถมองเห็นพระวิหาร ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งยังมองเห็นภูวัวและภูลังกาได้ด้วย ส่วนชั้นที่ 6-7 ทางจะเริ่มน่าหวาดเสียวขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นสะพานไม้ไต่เวียนรอบเขาติดริมหน้าผา มองลงใต้เท้าตัวเองก็เห็นแต่พื้นโล่งๆ ที่มีไม้ค้ำยันเอาไว้ บางคนที่กลัวความสูงก็มักจะเดินขึ้นแค่ 5 ชั้นเท่านั้น แต่ใครที่ชอบทำอะไรให้ถึงที่สุด ก็จะได้พบกับวิวสวยงามด้านบน ส่วนตอนลงอาจจะขาสั่นกันเล็กน้อยเนื่องจากหมดแรง ก็แวะพักให้หายเหนื่อยเสียก่อน อย่าหักโหม

ที่ว่ามานี้ก็คือสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดหนองคายที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ได้ไปเยี่ยมชมมา ซึ่งก็ได้คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า อะไรทำให้หนองคายเป็นเมืองที่น่าอยู่อันดับ 7 ของโลก หลังจากที่ได้ไปสัมผัสมาแล้วสามารถตอบได้ว่า ความเงียบสงบ ความเรียบง่าย และความน่ารักของคนหนองคาย รวมทั้งสภาพบ้านเมือง โดยเฉพาะในแถบใกล้แม่น้ำโขง ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนที่ได้มาที่นี่รู้สึกประทับใจ

และสำหรับใครที่ตั้งใจจะไปดูบั้งไฟพญานาคในช่วงวันออกพรรษานี้ ก็อย่าลืมเผื่อเวลาไว้ท่องเที่ยวตามเส้นทางที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” แนะนำมา เพื่อจะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของเมืองหนองคายได้อย่างใกล้ชิด บางทีเมืองนี้อาจจะเป็นเมืองที่น่าอยู่เป็นอันดับหนึ่งในใจคุณก็ได้


ที่มา จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการออนไลน์"



ไปข้างบน