หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

แก้บน “วิ่งม้า” ความเชื่อและศรัทธาแห่งบ้านบุ “วัดสุวรรณาราม”

หลวงพ่อศาสดา พระประธานในพระอุโบสถ วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร

“การบนบาน” และ “การแก้บน” ทั้ง 2 เรื่องนี้ สำหรับคนต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทยแล้วนั้น อาจจะดูเหมือนว่าเรื่องดังกล่าวนี้ดูเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ ที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าสำหรับชาวไทยแล้ว การบนบานและการแก้บน ถือว่าจะเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับคนไทยเป็นอย่างมาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการดำเนินชีวิตของคนไทยในสังคมมาอย่างยาวนานก็ว่าได้ เพราะการบนบานนั้นเป็นพฤติกรรมปกติอย่างหนึ่งของคนไทยโดยทั่วไป ที่แสดงออกถึงความเชื่อ ความศรัทธาต่อผีสางเทวดา หรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันอาจจะเป็นพระพุทธรูป เทพเจ้า หรือศาลเจ้าพ่อ-เจ้าแม่ต่างๆ ที่ตนเองเคารพและหวังให้เป็นที่พึ่งพาทางใจ

พระอุโบสถ วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร

สำหรับ “การบนบาน” นั้นเป็นการไปขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีการให้คำมั่นสัญญาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะให้บางสิ่งบางอย่างที่เชื่อ หรือคาดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ โปรดปรานเป็นเครื่องตอบแทน ซึ่งเมื่อสัมฤทธิ์ผลแล้วก็ต้องมีการทำตามคำสัญญาที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ โดยมีการนำเครื่องตอบแทนที่ว่านั้นมาให้ตามที่บนบานไว้ ซึ่งเรียกว่าเป็นการ “แก้บน” นั่นเอง

และ “การแก้บน” ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละสถานที่นั้น ก็มักจะมีเรื่องราวและรูปแบบของการแก้บนแบบต่างๆ ที่หลากหลาย อย่างเช่น การบนถวายดอกไม้ ถวายไข่ต้ม หัวหมู ถวายละครรำ หรืออะไรอื่นๆ อีกมากมายตามแต่ละบุคคลที่จะทำการบนบานและแก้บนกัน และการแก้บนก็อาจจะมีเรื่องราวของการแก้บนแบบแปลกๆ ที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย อย่างเช่นการแก้บนที่ “วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร” ซึ่งที่นี่มีการแก้บนแบบแปลกๆ เฉพาะท้องถิ่นที่ชาวบ้านบุ ซึ่งเป็นชุมชนริมคลองบางกอกน้อยนับถือปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน

การวิ่งม้าแก้บน มีคนวิ่งม้าและม้าที่ใช้คือผ้าขาวม้า




• รู้จัก “หลวงพ่อศาสดา” สัมผัสความเชื่อของชาวบ้านบุ

ชาวบ้านบุให้ความเคารพ นับถือ และศรัทธา “วัดสุวรรณาราม” ว่าเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของชุมชน ซึ่งภายในวัด มีพระอุโบสถ อันเป็นที่ประดิษฐานพระประธานที่มีชื่อว่า “พระศาสดา” หรือที่ชาวบ้านบุเรียกด้วยความเคารพกันว่า “หลวงพ่อศาสดา” ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และที่เคารพบูชาอย่างสูงสุดอย่างหนึ่งของชาวบ้านบุ ซึ่งองค์หลวงพ่อศาสดานั้น มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สร้างโดยฝีมือช่างสุโขทัย องค์พระมีความสูงถึงรัศมี 8 ศอก 1 คืบ 8 นิ้ว หน้าตักกว้าง 6 ศอก 1 คืบ เป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงาม สง่างามด้วยทรวดทรงอันอ่อนช้อย

องค์หลวงพ่อศาสดานี้ ชาวบ้านบุมีความเคารพ นับถือกันมาหลายชั่วอายุคนแล้วว่า หลวงพ่อศาสดามีความศักดิ์สิทธิ์ในแง่ที่ท่านจะคอยปกป้องคุ้มครองชาวบ้านบุให้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งหากกล่าวโดยหลักทางพระพุทธศาสนา หลวงพ่อศาสดาก็คือพระพุทธรูปองค์หนึ่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าชาวบ้านบุนั้นกลับมีความเชื่อเฉพาะของท้องถิ่นว่าหลวงพ่อศาสดากลับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีตัวตน ที่จะคอยช่วยดลบัลดาลประทานพรให้แก่ชาวบ้านที่มากราบไหว้ขอพร และมาบนบานกับท่าน ให้ได้สมหวังดังที่บนบานไว้ จนเกิดให้มีเรื่องราวของการแก้บนแบบแปลกๆ ต่อองค์หลวงพ่อศาสดาขึ้นมา ซึ่งถือว่าเป็นความเชื่อเฉพาะถิ่นที่ไม่เหมือนที่อื่น ที่ชาวบ้านบุยังคงเชื่อถือและศรัทธากับการแก้บนหลวงพ่อปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

ก่อนออกวิ่งม้าต้องมานั่งคุกเข่าไหว้ก่อนตรงใบเสมานอกโบสถ์




• “หลวงพ่อศาสดา” กับการแก้บนแบบไม่เหมือนใคร

“อันเรื่องการแก้บนนี้ รู้ความก็เห็นว่ามีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ ตั้งแต่ผมโตมาก็รู้เรื่องว่ามีมาแล้ว มันเป็นคล้ายๆ กับลักษณะความเชื่อมั่นของเราเองว่าเป็นอย่างนี้ มันเป็นความเชื่อถือของคนที่นี่ และพระท่านก็มีชื่อเสียงมาในทางที่ดีมาโดยตลอด อันนี้ผมนับถือแต่ยังไม่เคยบน แต่ว่าถ้ามาผ่านโบสถ์ก็ต้องวันทากันทุกครั้งที่ผ่านมา”

ลุงวีระ รุ่งแสง ประธานชุมชนบ้านบุ อายุ 77 ปี เป็นชาวบ้านบุตั้งแต่กำเนิดที่มีความผูกพันกับวัดสุวรรณราม และมีความนับถือศรัทธาในองค์หลวงพ่อศาสดาเป็นอย่างมาก ได้เล่าถึงความเชื่อ ความศรัทธา ในเรื่องของการแก้บนแบบแปลกๆ ทั้ง 3 อย่างที่มีต่อหลวงพ่อศาสดาอันไม่เหมือนใครของที่นี่ให้ฟัง พร้อมกับเล่าให้ฟังถึงลักษณะการแก้บนทั้ง 3 แบบที่ชาวบ้านบุปฏิบัติกันมาให้รู้ว่า

ชาวบ้านบุมีความเชื่อมาตั้งแต่ครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่า การมาบนหลวงพ่อศาสดาแล้วได้ดั่งที่บนบานไว้ก็ต้องมาแก้บน ซึ่งหลวงพ่อศาสดานั้นท่านไม่ชอบให้แก้บนด้วยดนตรี ละคร หรือการละเล่นอื่นๆ แต่จะชอบให้แก้บนแบบแปลกๆ ซึ่งในอดีตนั้นจะมีการแก้บนอยู่ 3 อย่าง คือบนเขกหัวตัวเอง บนตุ๊กตาล้มลุก และบนวิ่งม้า

“การบนเขกหัวตัวเอง ถ้าบนว่าจะเขกกี่ทีก็ต้องแก้บนเขกตามนั้นและเขกด้วยมือของตนเอง มีคนที่มาแก้บนมักพูดกันว่าเหมือนมีคนมาจับมือเราให้เขกหัวตัวเอง เพราะคนที่ไปแก้บนด้วยวิธีนี้หัวปูดกันทุกคน” ลุงวีระ เล่าให้ฟังถึงการบนเขกหัวตัวเอง และยังอธิบายถึงการแก้บนแบบอื่นๆ ว่า

การบนตุ๊กตาล้มลุก การแก้บนด้วยวิธีนี้จะเหนื่อยและลำบาก เริ่มด้วยการนั่งชันเข่าตรงหน้าใบเสมา แล้วเอามือทั้งสองสอดเข้าไปไว้กุมใต้ขา จากนั้นก็กลิ้งวนขวาไปหาซ้ายหมุนให้เป็นวงกลม บนไว้ว่าจะหมุนกี่รอบก็หมุนไปตามจำนวนนั้น การแต่งกายจะแต่งเหมือนเด็กหัวจุกหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องสมมติให้ตัวเราเป็นตุ๊กตา ทั้งนี้จ้างคนอื่นมาแก้บนแทนก็ได้ ลุงวีระบอกว่าการบนในลักษณะนี้ถ้าบนเรื่องขอให้ถูกหวยหรือบนในเรื่องการพนัน หลังจากแก้บนเสร็จแล้วก็ล้วนต่างเจ็บตัวกันไปตามๆ กัน ราวกับว่าหลวงพ่อศาสดาไม่สนับสนุนให้เล่นการพนัน

ทั้งนี้การบนและแก้บนเขกหัวตัวเองหรือตุ๊กตาล้มลุก ส่วนมากจะขอให้ช่วยในเรื่องที่เดือดเนื้อร้อนใจหรือขอบนไม่ให้ฝนตก ซึ่งปัจจุบันนี้การแก้บนทั้ง 2 อย่างนี้ไม่ค่อยมีใครมาบนและแก้บนด้วยวิธีการนี้สักเท่าไหร่แล้ว เพราะเป็นการแก้บนที่ยาก จะเห็นมีก็แต่การ “วิ่งม้า” แก้บนที่ยังคงมีให้เห็นและเป็นการแก้บนที่หลวงพ่อศาสดาโปรดปรานเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นการแก้บนที่มีชื่อเสียงของวัดสุวรรณาราม ที่ชาวบ้านก็ยังคงนับถือปฏิบัติการวิ่งม้าแก้บนกันมาอย่างต่อเนื่อง จนจะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของการแก้บนที่ไม่มีที่ไหนเหมือนแล้วก็ว่าได้

คุณลุงวีระ รุ่งแสง ประธานชุมชนบ้านบุ




• “วิ่งม้า” แก้บน องค์หลวงพ่อศาสดา

การ “วิ่งม้า” แก้บน ที่หลวงพ่อศาสดาชื่นชอบนั้น มีเรื่องราวเล่ากันมาว่าพระศาสดาโปรดปรานการวิ่งม้ามาก หลังจากที่อัญเชิญจากสุโขทัยมาประดิษฐานไว้ที่วัดวัดสุวรรณารามแล้ว มีคนมาบนบานศาลกล่าวในเรื่องของการงานและการค้าขาย เมื่อสำเร็จผลก็ได้ฝันไปว่า มีพราหมณ์ท่านหนึ่งมาบอกว่าให้แก้บนด้วยการวิ่งม้าจึงเป็นที่มาของพิธีแก้บนที่วัดแห่งนี้

ลุงวีระ พูดถึงการวิ่งม้าแก้บนว่า “ทุกวันนี้การแก้บนวิ่งม้ายังมีให้เห็น มีทั้งคนในชุมชนและคนต่างถิ่น การบนด้วยการวิ่งม้าจะบนเรื่องอะไรก็ได้ จะขอไม่ให้ฝนตก แต่ส่วนใหญ่คนจะมาบนวิ่งม้ากันในเรื่องของการเกณฑ์ทหาร เมื่อก่อนการวิ่งม้าแก้บนจะใช้ก้านกล้วยมาเป็นตัวม้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่เอาแล้ว ใช้ผ้าขาวม้าแทน นำผ้าขาวม้ามาผูกมัดให้เป็นหัวขมวดปมคล้ายๆ เป็นหัวม้า ข้างหลังก็เป็นหาง”

“เวลามาแก้บน ต้องมาจุดธูปไหว้บอกก่อนที่จะวิ่ง ต้องมานั่งคุกเข้าอยู่ด้านหน้าใบเสมาตรงหน้าโบสถ์ ตั้งนะโม 3 จบ แล้วก็บอกว่าจะมีการมาวิ่งแก้บนเนื่องจากที่ได้บนบานไว้ แล้วก็เริ่มวิ่งรอบโบสถ์ตามจำนวนที่ได้บนไว้ วิ่งวนขวาของโบสถ์ แล้วเวลาวิ่งก็ต้องร้องเสียงม้าฮี้ๆ ฮี้ๆ ไปเรื่อยรอบโบสถ์ด้วย พอวิ่งเสร็จก็มากราบอีกที เป็นอันว่าเสร็จสิ้นการแก้บน” ลุงวีระอธิบายถึงวิธีการวิ่งม้าแก้บน

การวิ่งม้าแก้บนต้องวิ่งวนทางขวารอบโบสถ์



ระหว่างที่วิ่งม้าไปรอบๆ โบสถ์ต้องร้องเสียงม้าฮี้ๆๆ ไปด้วย




• ไม่เชื่ออย่าลบหลู่กับเรื่องราวความ (เหลือ) เชื่อ

สำหรับเรื่องราวความเชื่อของการ “วิ่งม้า” แก้บนต่อหลวงพ่อศาสดาของที่นี่ นอกจากจะมีความแปลกน่าสนใจไม่เหมือนใครแล้ว ยังมีเรื่องราวความ (เหลือ) เชื่อ หรือปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นมากมาย ดังที่มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า มีคนมาวิ่งม้าแก้บน แล้วแกล้งวิ่งหลอกๆ ไม่ยอมวิ่งจริงๆ แต่ทำไปได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น จู่ๆ ก็เหมือนมีมือขนาดยักษ์มาเขกหัว ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีใครเลย ซึ่งนับแต่นั้นมาทำให้หลายๆ คนไม่กล้าวิ่งม้าหลอกๆ แก้บนที่วัดนี้อีกเลย

หรือจะเป็นกรณีที่ลุงวีระเล่าให้ฟังว่า “เคยมีคนถูกหวยแล้วเขาบนไว้ว่าจะวิ่งม้า 15 รอบ ซึ่งถ้าดูแล้ววิ่ง 15 รอบแบบเหยาะๆ นี่สบายเลย เขาก็วิ่งเวียนขวา เขาว่าพอยกมือเสร็จจะวิ่งปุ๊บ ระยะจากหน้าโบสถ์ไปหลังโบสถ์มันสุดลูกหูลูกตาเลย เหมือนระยะทางมันยืดออกไปเลย เขาก็วิ่งพอไปถึงท้ายโบสถ์เขาไม่ไหว เพื่อนต้องไปรอรับเอายาลมมากินกัน พอเสร็จแล้วบอกว่าไม่ไหวแล้วหลวงพ่อ พรุ่งนี้เอาใหม่ หลวงพ่อก็ให้ ทีนี้พ่อรุ่งขึ้นเตรียมมาเลยก่อนจะวิ่งกินยาลมเลย และพรรคพวกไปยืนรอ ทีละครึ่งโบสถ์ พอออกวิ่งครบรอบโบสถ์ เรียกว่าโซซัดโซเซต้องประคองปีกกันเลย หนึ่งวันวิ่งได้ครึ่งรอบ วิ่งอยู่หนึ่งเดือนถึงจะครบตามที่บนไว้ บอกว่าเข็ดเลย เรียกว่าวัตถุประสงค์ของหลวงพ่อท่านไม่ต้องการส่งเสริมลักษณะการบนเพื่อการพนันแบบนี้ หลวงพ่อท่านไม่ชอบให้ใครเล่นการพนัน”

เรียกว่าการ “วิ่งม้า” แก้บนต่อองค์หลวงพ่อศาสดานี้มีความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวบ้านบุที่ไม่มีใครกล้าหลบหลู่ต่อความเชื่อนี้ ซึ่งทุกวันนี้ความเชื่อของการวิ่งม้าแก้บนได้กลายเป็นช่องทางของการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนของชาวบ้านบุเอง เพราะหลายๆ คนเมื่อทราบว่าหลวงพ่อศาสดามีความศักดิ์สิทธิ์และชื่นชอบการแก้บนด้วยการวิ่งม้า ต่างก็พากันมาบนบานและมาแก้บนด้วยการวิ่งม้า ซึ่งอันที่จริงการวิ่งม้านั้นคนบนอาจจะแก้บนวิ่งม้าเองหรือว่าจะจ้างคนอื่นมาวิ่งแทนก็ได้ ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นภายในชุมชนบ้านบุ

พี่สุนัน รัตนพงศ์ธระ กับเด็กๆ ที่มาวิ่งม้าแก้บน




• “วิ่งม้า” แก้บน สร้างรายได้

พี่สุนัน รัตนพงศ์ธระ อายุ 64 ปี เป็นชาวบ้านบุที่มีความศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อศาสดาและมีความเชื่อเกี่ยวกับการวิ่งม้าแก้บนหลวงพ่อ ซึ่งเคยบนมากับตัวเองและก็ได้สมหวังตามที่ขอไว้ จึงทำให้มีความเชื่อ ความศรัทธาต่อการวิ่งม้าแก้บนเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังได้เป็นผู้เริ่มต้นการหาเด็กๆ ในชุมชนบ้านบุมาวิ่งม้าแก้บนแทนคนที่ไม่สามารถวิ่งม้าแก้บนได้ด้วยตัวเอง จนเกิดเป็นอาชีพขึ้นมาก็ว่าได้ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเด็กๆ ในชุมชนและยังเป็นการช่วยอนุรักษ์การวิ่งม้าแก้บนให้ยังคงอยู่คู่กับชาวบ้านบุต่อไป

“เรื่องแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่ที่ความเชื่อของคนเรา คนที่เขาไม่เชื่อก็จะว่าเรางมงาย แต่ว่าถ้าได้กับตัวเองแล้วก็จะรู้ว่ามันไม่งมงาย มันมีส่วนจริง เป็นความเชื่อส่วนบุคคล อย่างการวิ่งม้าแก้บน ถ้าเขายังเชื่อก็ยังมีต่อไป แต่ถ้าเขาไม่เชื่อก็จะค่อยๆ หายไป เราก็อยากให้อนุรักษ์ไว้ จะได้รู้ว่าดั้งเดิมมี มีการเชื่อของคนแบบนี้”

“อย่างที่มีการจ้างเด็กวิ่งม้าแก้บนเกิดขึ้นมาจากการที่บางคนที่มาบนสูงอายุหรือว่าวิ่งเองไม่ไหว เขาก็จะหาตัวแทนและจะบอกหลวงพ่อว่าจ้างเด็กมาเป็นตัวแทนวิ่งแทน เพื่อให้สิ่งที่ได้บนไว้หมดสิ้นกันไป ไม่ติดค้าง ตัวพี่เองเข้ามาดูแลเรื่องหาเด็กมาวิ่งม้าแทนมาหลายปีแล้ว ก็ใช้วิธีไปถามเด็กๆ ใครจะวิ่งม้ามั่ง พอถามปั๊บก็ไม่ใครปฏิเสธก็มาวิ่งให้ ก็ถือว่าเป็นการสร้างรายได้ให้กับเด็กในชุมชน แล้วเด็กก็จะได้ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด พอมีงานเด็กก็มา ก็ได้เงินเอาไปใช้” พี่นันบอกพร้อมกับเล่าถึงขั้นตอนของการจ้างเด็กวิ่งม้าแก้บนให้ฟังว่า

“คนที่มาวิ่งม้าแก้บน แต่ไม่วิ่งเอง ตอนมาแก้บนก็จะมาติดต่อให้หาเด็กมาวิ่งให้ และก็ต้องเตรียมดอกไม้ ธูปเทียนมา ส่วนอุปกรณ์ในการวิ่งม้าก็จะมีผ้าขาวม้ามาให้เด็ก และเด็กจะผูกให้เป็นหัวม้า เป็นหางม้า แล้วก็นำไปไหว้ก่อนที่จะออกวิ่ง เวลาวิ่งก็ให้ชูคอไว้เหมือนชูคอม้า แล้วก็ออกวิ่ง ทุกวันนี้จะวิ่งกัน 3 รอบต่อม้า 1 ตัว”

“แต่ถ้าหากใครบนม้าไว้ 9 ตัว 10 ตัว ก็ต้องจ้างเด็กมาเป็นม้าวิ่งตามจำนวนที่บนไว้ แล้วพอเด็กวิ่งเสร็จเขาก็จะให้ผ้าขาวม้ากับเด็กไว้ เด็กๆ เขาก็จะเก็บผ้าไว้ เพราะว่าการบนวิ่งม้าจะใช้ผ้าขาวม้าใหม่ แล้วที่นี่บางคนที่มาแก้บนจ้างให้เด็กวิ่ง แต่ว่าไม่มีผ้าขาวม้ามาให้เด็ก เด็กเขาก็จะเอาผ้าขาวม้าใหม่ที่เก็บไว้อยู่มาวิ่ง ส่วนเรื่องค่าจ้างคนจ้างเขาก็จะให้เงินเด็ก บางคนเขาก็ให้เพิ่มบ้าง แล้วแต่ตกลงกับเด็กไว้” พี่สุนันบอกรายละเอียด

อารยา แก้วอำไพ วิ่งม้าแก้บนเพื่อช่วยคนและสร้างรายได้


ด.ญ.ทิพย์ธัญญา บานเย็น หรือ น้องต้นข้าว อายุ 6 ปี เป็นหนึ่งในเด็กวิ่งม้าที่พี่สุนันเรียกมา ที่ถึงแม้จะอายุยังน้อยและเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่ก็อาสามาวิ่งม้าแก้บนสร้างรายได้กับเขา

“หนูวิ่งม้ามาตั้งแต่ 4 ขวบครึ่ง รู้จักการวิ่งม้าว่าเป็นการแก้บนชนิดนึ่ง เวลามาวิ่งม้าหนูต้องผูกผ้าขาวม้าเอง แล้วก็ไหว้พระ แล้วก็นั่งพับเพียบ แล้วก็ออกวิ่ง 3 รอบ หนูไม่เหนื่อย สนุกดี เวลามาวิ่งม้า วิ่งกันหลายคน วิ่งครั้งหนึ่งได้เงิน 100 บาท ก็จะเอาไปซื้อไอติม มาวิ่งแก้บนก็ดี ดีว่าได้เงินมาและกินข้าวกินปลาและเงินเหลือก็เอาไปหยอดกระปุก ถ้าป้านันเรียกให้หนูมาวิ่งหนูก็ยังจะมาวิ่งอยู่ค่ะ” น้องต้นข้าวตอบด้วยน้ำเสียงอันสดใส

น้องปี๋-อารยา แก้วอำไพ อายุ 15 ปี อีกหนึ่งลูกหลานชาวบ้านบุที่มาวิ่งม้าแก้บน โดยการชักชวนของพี่สุนัน ซึ่งน้องปี๋ได้มาวิ่งม้าแก้บนตั้งแต่อายุ 8 ปี จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังวิ่งม้าอยู่

“หนูตัดสินใจมาวิ่งม้าเลย มาช่วยเขา ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าการวิ่งม้าต้องทำยังไง พอมาถึงเขาก็บอกว่าต้องทำอย่างนี้นะ ก็ถึงจะรู้ ไม่ต้องมีการซ้อมวิ่งมาก่อน ก็วิ่งธรรมดา แต่ว่าต้องตั้งใจในการวิ่งทุกครั้ง ส่วนใหญ่จะวิ่งแค่ 3 รอบ และระหว่างวิ่งไปก็ต้องร้องเหมือนม้าไปด้วย เวลาวิ่งม้าแก้บนส่วนใหญ่จะมีเพื่อนๆ วิ่งด้วย ส่วนค่าจ้างวิ่งม้าบางทีก็ได้ 100 บาท บางทีก็ 150 บาท ได้เงินแล้วส่วนมากก็เอาไปเก็บ เป็นเงินมาไว้เป็นค่ากินอยู่ วันไหนไม่มีใช้ถึงจะเอาเงินตรงนี้มาใช้ค่ะ” น้องปี๋บอกพร้อมกับสาธิตการวิ่งม้าให้ดู

เมื่อไถ่ถามว่ามาวิ่งม้าแก้บนเคยเจอเหตุการณ์ปาฏิหาริย์เหลือเชื่อระหว่างวิ่งม้าแก้บนบ้างไหม น้องปี๋ตอบแบบไม่คิดมากเลยว่า “หนูไม่เคยเจอคะ แต่บางทีที่เขาวิ่งๆ กัน ก็เคยได้ยินมาว่า เขาบอกว่าเวลาที่วิ่งอย่าพูดคำว่าเหนื่อยเพราะว่าเขาบอกว่าเดี๋ยวหลวงพ่อแกจะมาขี่หลัง หนูก็กลัวเหมือนกัน แต่ไม่เคยพูด ก็เลยไม่เจอ หนูคิดว่าการวิ่งม้าตรงนี้ก็เหมือนช่วยที่เขาขอไว้ให้ได้สำเร็จ แล้วเราก็ทำเพื่อตัวเองด้วย ที่ว่ามาเป็นเด็กวิ่งม้าของหลวงพ่อศาสดา” น้องปี๋ถ่ายทอดความรู้สึกต่อการที่ได้มาวิ่งม้าแก้บน

ด.ญ. ทิพย์ธัญญา บานเย็น ถึงจะเป็นเด็กตัวเล็กแต่ก็วิ่งม้าแก้บนได้


เรื่องราวของการแก้บนของชาวบ้านบุที่มีต่อความศรัทธาในองค์หลวงพระศาสดาที่ชาวบ้านเคารพนับถือบูชา ถือว่าเป็นความเชื่อ ความศรัทธาเฉพาะท้องถิ่น ที่ถึงแม้ว่าสังคมในโลกยุคดิจิตอลจะมีวิวัฒนาการก้าวไกลไปเพียงใด แต่ความเชื่อ ความศรัทธาในเรื่องของการแก้บนก็จะยังคงอยู่คู่กับชาวบ้านบุสืบไป ตราบใดที่ความเชื่อยังฝังแน่นลึกอยู่ในจิตใจของชาวบ้านทุกคน

* * * * * * * * * * * * * *

“วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร” ตั้งอยู่ที่ 33 ซ.จรัญสนิทวงศ์ 32 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ภายในวัดมีพระอุโบสถที่เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อศาสดา และภายในพระอุโบสถยังงดงามไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของจิตรกรที่มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ 3 คือ ครูทองอยู่และครูคงแป๊ะที่ทรงคุณค่างดงามไปด้วยศิลปกรรมที่หาชมได้ยาก

สำหรับผู้ที่มาบนกับหลวงพ่อศาสดา แล้วต้องการหาเด็กที่จะมาวิ่งม้าแก้บนแทน สามารถติดต่อได้ที่ สุนัน รัตนพงศ์ธระ โทร. 08-9143-2487

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
เรื่องอาถรรพ์ที่วัดสุวรรณาราม

ลอยกระทง “วัดสุวรรณาราม” - ชมขันลงหิน “บ้านบุ”

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการออนไลน์"


ไปข้างบน
แลกเปลี่ยนความรู้ - แสดงความคิดเห็นของท่านได้ที่นี่
ความเห็นท้ายข่าว: 
โดยคุณ: 

เชื่อมต่อฐานข้อมูลไม่ได้