หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

ตอนที่ 3 ประทับทรงท้าวจตุคามรามเทพ


เทวรูปจตุคามรามเทพ "ปางมหาราชลีลา"

กว่าจะมาเป็นเสาหลักเมืองนครศรีธรรมราชอย่างที่เห็นในปัจจุบันมีบุคคลสำคัญคือ นายอะผ่อง สกุลอมร ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแกนหลักสำคัญที่จุดประกายการเปิดตัว “จตุคามรามเทพ” จนนำไปสู่การตั้งเสาหลักเมือง

จากคำบอกเล่าของนายอะผ่อง สกุลอมร หรือที่เรียกกันว่า “โกผ่อง” ซึ่งเป็นชาวเมืองนครศรีธรรมราช เดิมทำหน้าที่เป็นร่างทรงในช่วงงานเทศกาลและโอกาสที่สำคัญๆ โกผ่องได้เล่าถึงที่มาของท้าวจตุคามรามเทพว่า ในปี 2528 พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมาธิกุล (ยศในขณะนั้น) ได้เดินทางมารับตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นการกลับมารับตำแหน่งในบ้านเกิดเมืองนอนหลังจากที่ต้องไปรับราชการในจังหวัดอื่นๆ มานาน ก่อนที่จะเดินทางมายังเมืองนครศรีธรรมราช พันตำรวจเอกสรรเพชญ ได้ฟังคำแนะนำจากท่านผู้รู้คนหนึ่งที่ว่าที่เมืองนครศรีธรรมราชมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอยู่ หากพันตำรวจเอกสรรเพชญ ปรารถนาอยากจะเจอให้เอาเอง โดยให้ไปทางทิศตะวันออกของเมือง


พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมาธิกุล

ด้วยความอยากจะทราบว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครศรีธรรมราชคืออะไร พันตำรวจเอกสรรเพชญพร้อมเพื่อนอีกคนจึงได้ค้นหาข้อมูลและเสาะหาบุคคลผู้ที่มีความสามารถพิเศษในการติดต่อสื่อสารกับ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช” ได้ แต่ค้นหาอย่างไรก็ยังไม่ได้คำตอบและก็ยังไม่พบผู้ที่เหมาะสมในงานนี้ ในช่วงนี้เองชาวเมืองนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่มักจะไปวัดนางพญาที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองอย่างเนืองแน่น เพื่อมาขอโชค เพราะมีข่าวลือว่าผู้ที่มาไหว้ที่วัดนางพญาแล้วได้เลขเด็ดกันแทบทุกคน พันตำรวจเอกสรรเพชญพร้อมคณะผู้ติดตามจึงแวะมาที่วัดนางพญาแล้วได้สอบถามชาวบ้านว่ามีใครที่มีความสามารถพิเศษในการสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้บ้าง คณะผู้ติดตามคนหนึ่งพอได้ยินพันตำรวจเอกสรรเพชญสอบถามอย่างนั้น ก็บอกว่าตนเองรู้จักคนทรงในศาลเจ้าจีนอยู่คนหนึ่ง แต่ขอเวลาติดต่อสอบถามก่อน

นายอะผ่อง สกุลอมร (โกผ่อง) ได้รับการติดต่อจากคณะของพันตำรวจเอกสรรเพชญว่าต้องการขอเข้าพบเพื่อสอบถามเรื่องการทรง ซึ่งทางโกผ่องก็ตอบไปว่ายินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เมื่อพันตำรวจเอกสรรเพชญได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้รีบเดินทางมายังบ้านของตน โกผ่องกล่าวว่า “ยังจำได้ว่า วันนั้นมาถึงกันตอนเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว”

หลังจากที่คณะของพันตำรวจเอกสรรเพชญได้แจ้งความประสงค์ของการมาเยือนในยามวิกาลให้โกผ่องฟังว่า “ต้องการให้โกผ่องอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองนครฯ” โกผ่องก็มีความยินดีที่จะทำหน้าที่เป็น “ร่างทรง” ให้ โดยที่ตอนนั้นทางคณะพันตำรวจเอกสรรเพชญก็ไม่ได้บอก “ชื่อ” ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราชที่จะทำพิธีอัญเชิญในคืนนั้นให้ทราบ

เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คณะทั้งหมดจึงได้เดินทางไปที่วัดนางพญาเพื่อทำพิธีประทับทรงอัญเชิญ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช” โดยมีโกผ่องทำหน้าที่เป็นร่างทรง เมื่อได้เวลาสำคัญที่ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช” มาประทับทรงร่างของโกผ่อง เพียงแค่เห็นครั้งแรกทุกคนในคณะของพันตำรวจเอกสรรเพชญก็ยังไม่มีใครปักใจเชื่อว่าเป็นการประทับทรงจริง จึงได้มีการให้ทดสอบว่าที่ประทับทรงคราวนี้จริงหรือปลอม โดยให้เอาบุหรี่จี้ไปตามต่างกายของร่างทรง แต่ทว่าก็หาได้สร้างความสะดุ้งสะเทือนกับร่างทรงไม่ ร่างทรงยังคงนั่งด้วยความสงบนิ่ง แต่ทว่าการทดสอบยังไม่จบสิ้น ได้มีการจุดธูปเต็มกำมือจี้ไปตามร่างกายของโกผ่องอีกครั้ง ผลก็ปรากฏเหมือนเดิมอีก คือร่างทรงไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือนเลย ยังคงนั่งสงบนิ่งเป็นปกติ ไม่มีการแสดงอาการเจ็บแสบหรือผิวหนังเป็นแผลผุพองจากรอยไฟไหม้เลยแม้แต่น้อย

หลังจากเสร็จสิ้นการลองของกับร่างทรง ก็ถึงเวลาที่ร่างทรงได้เอ่ยปากถามบรรดาผู้ที่อยู่ในบริเวณพิธีว่า “ถ้าทดลองเสร็จแล้ว กูขอลองเอาธูปจี้กลับคืนบ้างได้ไหม”

คณะของพันตำรวจเอกสรรเพชญได้ยินดังนั้นก็ต่างตกใจและได้ประจักษ์ถึงอิทธิฤทธิ์ของ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช” ที่ประทับทรงในร่างของนายอะผ่อง ทุกๆ คนจึงต่างพากันกราบขอขมาลาโทษที่ได้ล่วงเกินไป ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่แต่อย่างใด เพียงแต่อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่าได้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทับทรงจริงหรือไม่ ซึ่งหลังจากนั้นบรรยากาศภายในพิธีเปลี่ยนไป ทุกคนเริ่มมีความเป็นกันเอง คณะพันตำรวจเอกสรรเพชญทุกคนล้วนให้ความเคารพศรัทธากับ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช” ในร่างประทับทรงของนายอะผ่อง สกุลอมร โกผ่องได้กล่าวต่อว่า “การประทับทรงครั้งแรกผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ก็ยังไม่มีใครสงสัยว่า ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช’ ที่มาประทับทรงเป็นใคร”

หลังจากการประทับทรงครั้งแรกผ่านไปสิบวันก็มีการจัดให้มีการประทับทรงครั้งที่ 2 ที่วัดนางพญา คราวนี้ปรากฏว่าทางเจ้าอาวาสวัดนางพญาไม่อนุญาต ทางคณะจึงจำเป็นต้องหาสถานที่ใหม่โดยเลือกเอาโกดังเก็บของหลังวัดเขาชะเมาเป็นสถานที่ประทับทรง ในเวลาไม่นานนักทางคณะก็ได้จัดให้มีการประทับทรงครั้งที่ 2 ที่โกดังเก็บของ การประทับทรงคราวนี้มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่รู้ข่าวการประทับทรงในครั้งแรกได้มาเข้าร่วมด้วย คนเหล่านี้มาจากหลากหลายอาชีพ ทั้งหมดได้มารวมตัวกันจัดตั้งเป็นชมรม โดยใช้ชื่อว่า “ชมรม 28”

และหลังจากนั้นเป็นต้นมา หากมีการประทับทรงเมื่อใด ชมรม 28 ก็จะเป็นแม่งานใหญ่ในการดูแลจัดเตรียมข้าวของ ดอกไม้ ธูปเทียน ทุกครั้งไป

ในระหว่างปี พ.ศ. 2528 เมืองนครศรีธรรมราชมีโจรผู้ร้ายชุกชุม อีกทั้งยังมีนักเลงก่อความไม่สงบ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ทุกคนในเมืองต่างก็มีความปรารถนาที่จะเห็นบ้านเมืองสงบสุข ชาวชมรม 28 ทุกคนล้วนเป็นชาวเมืองนครศรีธรรมราชจึงมีความเป็นห่วงสถานการณ์ของบ้านเมือง ในการทรงครั้งต่อมาจึงได้นำเรื่องราวของสถานการณ์บ้านเมืองมาปรับทุกข์และขอคำปรึกษาจาก “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช” ที่ประทับทรง ซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประทับทรงในร่างของโกผ่องได้พูดออกมาว่า “คนไม่ดีเอาไว้ทำไม” ทุกคนในที่นั้นต่างจดจำคำพูดของร่างประทับทรงได้อย่างชัดเจน ซึ่งในเวลาต่อมาก็เกิดคดียิงกันตายหลายคดีโดยเฉพาะในเขตเทศบาล ส่วนใหญ่ผู้ที่ตายจะประกอบอาชีพในทางไม่สุจริต การตายของคนเหล่านั้นทำให้มีการร่ำลือกันว่าเกิดจากวาจาสิทธิ์ของร่างประทับทรงในคืนนั้น


ไปข้างบน