หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook

ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

ในการจัดอันดับ 100 คนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อโลกในรอบ 1,000 ปีที่แล้ว นิตยสารไลฟ์ ได้คัดเลือกบุคคลผู้หนึ่งซึ่งคนสมัยนี้แทบไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่เขายังมีชีวิตอยู่

บุคคลผู้นี้ถูกเลือกให้อยู่ในทำเนียบเดียวกับ ไอน์สไตน์ นโปเลียน มาร์กซ์ และ ตอลสตอย ทั้งที่ความสำเร็จของเขาดูสามัญเหลือเกินในสายตาของคนทุกวันนี้

บุคคลผู้นั้นคือ โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ นักวิ่งชาวอังกฤษ


การวิ่งครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิด เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1954

ผลงานอันโดดเด่นของเขาที่ ไลฟ์ ต้องจารึกไว้ก็คือ เขาเป็นคนแรกในโลกที่วิ่งระยะทางหนึ่งไมล์ ด้วยเวลา 3.59 นาที ความสำเร็จของเขามีไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เดี๋ยวนี้มีนักวิ่งมากมายที่ใช้เวลาน้อยกว่าเขาเสียอีก แม้กระทั่งชัยชนะของเขาเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว ก็ยังควรค่าแก่การจารึกในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเขาได้ทำลาย “กำแพง” ที่ขวางกั้นมนุษย์มาช้านาน

เป็นเวลาหลายพันปี ที่ผู้คนเพียรพยายามวิ่ง 1 ไมล์โดยใช้เวลาน้อยกว่า 4 นาที แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ จนเกิดเป็นความเชื่อฝังใจว่ามนุษย์เรามีขีดจำกัดเพียงแค่นี้ ไม่มีทางที่เราจะข้ามพ้นกำแพงดังกล่าวได้ แต่ แบนนิสเตอร์ ได้พิสูจน์ว่า มนุษย์เรามีศักยภาพมากกว่านั้นและกำแพงดังกล่าวที่แท้จริงเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง

หลังจากกำแพงดังกล่าวถูก แบนนิสเตอร์ ทำลายลงไป นักกีฬาคนแล้วคนเล่าก็ทยอยทำลายสถิติการวิ่ง จนดูราวกับว่าศักยภาพของมนุษย์เราจะไม่มีขีดจำกัด ขอเพียงแต่ไม่สยบยอมต่อกำแพงในใจเท่านั้น


ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้น ไม่ได้อยู่ที่การเนรมิตประดิษฐกรรมอันน่าอัศจรรย์ หรือการกู้ชาติสร้างประเทศเสมอไป การบันดาลใจให้ผู้คนก้าวข้ามพ้นขีดจำกัดของตนเอง ก็เป็นคุณูปการสำคัญต่อโลกเช่นกัน

นี่แหละคือผลงานอันทรงคุณค่าของ แบนนิสเตอร์ ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้


แบนนิสเตอร์ ในปัจจุบัน

มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพมากมายเหลือประมาณ
แถมยังพัฒนาให้เพิ่มพูนขึ้นได้
แต่ศักยภาพดังกล่าวไม่ค่อยถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
เพียงเพราะความเชื่อว่า “ฉันทำไม่ได้”

ความเชื่อเช่นนี้ได้กลายเป็นกำแพงขวางกั้นความฝันและจำกัดศักยภาพของเราไปโดยไม่รู้ตัว ผลก็คือ ชีวิตเราแน่นิ่งอยู่กับที่ ราวกับถูกล่ามโซ่ที่เราสร้างขึ้นเอง


ช้างบ้าน ที่ถูกล่ามไว้ด้วยเส้นเชือก

มีช้างบ้านวัยฉกรรจ์เป็นจำนวนมาก ที่ถูกล่ามไว้ด้วยเชือกเส้นเล็ก ๆ เพียงเส้นเดียว หากมันเพียงแต่ดึงแรงๆ เท่านั้น ก็เป็นอิสระได้แต่เหตุใดสัตว์ร่างยักษ์นี้ถึงยอมจำนนต่อเชือกเล็กๆ เส้นนี้

คำตอบก็คือ เพราะมันถูกล่ามเช่นนี้ตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ มันไม่มีแรงพอที่จะดึงเชือกให้ขาดได้ แม้โตขึ้นมันจะมีกำลังวังชามหาศาล แต่ประสบการณ์วัยเด็กก็ยังฝังอยู่ในหัวว่า ไม่มีทางดึงเชือกให้ขาดได้ มันจึงยอมให้เชือกเส้นน้อยๆ พันธนาการต่อไป

คนเป็นอันมากไม่ต่างจากช้างบ้านดังกล่าว เขามีความคิดอยากจะทำอะไรดีๆ ตั้งมากมาย แต่แล้วก็ไม่กล้าทำเพราะคิดว่าทำไม่ได้

บางคนอยากแก้นิสัยขี้โกรธ ขี้อิจฉา ชอบกลัว ช่างวิตก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมทำ เพราะคิดว่าทำไปก็เท่านั้น ทำมาหลายครั้งแล้วไม่เคยสำเร็จสักที

จริงอยู่ เมื่อก่อนอาจทำไม่สำเร็จ แต่ใช่ว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้จะต้องล้มเหลวอีก มีหลายคนพยายามทำแต่ก็ทำไปได้ไม่ตลอดเพราะยอมแพ้กลางทาง ด้วยคิดว่านิสัยเหล่านั้นเกิดมาพร้อมกับตัว และคงจะตายไปพร้อมกับตัว ไม่มีวันแก้ได้หรอก

ส่วนคนที่อยากสร้างสรรค์ผลงานตามที่นึกฝัน แต่ก็ได้แค่ฝันเพราะคิดว่าไม่มีสติปัญญาจะทำได้

ความคิดเช่นนี้แหละ คือเชือกที่ล่ามตัวเราเอง มันคือกำแพงที่เราสร้างขึ้นไว้ขวางกั้นตนเอง

ขีดจำกัดที่เราสร้างขึ้นไว้ขวางกั้นตนเองมีหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่ต้องข้ามพ้นเป็นประการแรก ก็คือ ความกลัว ไม่กล้าลอง หรือ ทำอย่างครึ่งๆ กลางๆ

เมื่อใดก็ตามที่เรากล้าทำและทำด้วยความเพียรพยายามอย่างเต็มที่จนถึงที่สุด นั่นคือชัยชนะอันงดงามแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม

**************


(จอห์น สตีเฟน อัควารี ) การวิ่งครั้งนี้เกิด เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1968 ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ ประเทศเม็กซิโก

ในวงการนักวิ่งระดับโลก มีอีกคนหนึ่งที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เขามิใช่ผู้ชนะเลิศ แต่ไม่ได้ทำลายสถิติใด เขามาถึงเส้นชัยเป็นคนสุดท้ายด้วยซ้ำ และเพราะเหตุนั้นโลกจึงต้องก้มหัวให้เขา

จอห์น สตีเฟน อัควารี แห่งแทนซาเนีย วิ่งฝ่าความมืดมายังสนามกีฬาอย่างกะโผลกกะเผลก (เวลาขณะนั้น 19.00 น.) ขาข้างขวาโชกเลือดและพันด้วยผ้าพันแผล

เขาเป็นนักวิ่งมาราธอน แต่เหรียญทองโอลิมปิกปี 2511 ได้มอบแก่ผู้ชนะไปกว่าชั่วโมงแล้ว ผู้ชมกลับบ้านกันไปเกือบหมดจนสนามแทบร้าง แต่เขาก็ยังอุตส่าห์พาสังขารมาถึงเส้นชัยในที่สุด

ต่อมาได้มีผู้สื่อข่าวถามเขาว่า เหตุใดเขาจึงไม่หยุดวิ่ง ทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสชนะแล้ว

เขาทำท่างุนงงสักพักแล้วตอบว่า
“ประเทศของผมไม่ได้ส่งผมมาเพื่อออกสตาร์ต แต่ส่งผมมาเพื่อวิ่งให้เสร็จ”

คนที่เพียรอย่างถึงที่สุด
โดยไม่คำนึงถึงผลว่าจะแพ้หรือชนะ
คือผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่
ด้วยเหตุนี้ จอห์น สตีเฟน อัควารี
จึงเป็นนักวิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก


ไปข้างบน