หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
ชม Video โอลิมปิก  ปักกิ่ง 2008 (Beijing 2008  Olympic Games)
ฐานิยปูชา ๒๕๕๒
ฐานิยปูชา ๒๕๕๑
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช
การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ที่จังหวัดนครราชสีมา
เชิญชม การ์ตูนแอนนิเมชั่น  เสี้ยวลิ้มยี่  (The Legend of Shaolin Kung Fu)
เชิญชม VDO น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ
เชิญชม ประวัติศาสตร์การเมือง ตอน ปิดตำนานทักษิณ
เจ้าแม่กวนอิม
ชมตัวอย่างภาพยนตร์,หนัง
คลังเก็บรูปภาพ

ทุกสิ่งคืออารมณ์จิต

สภาวธรรมอันเป็นอารมณ์จิตคือกายกับใจ สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เรารู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แม้แต่วิชาความรู้ ทางโลกศาสตร์ไหนที่เราเรียนมา สิ่งนั้นก็คืออารมณ์จิต เป็นสภาวธรรมทั้งนั้น เมื่อจิตสมาธิมันเป็นเองโดยธรรมชาติของสมาธิ สารพัดที่มันจะปรุงแต่งไป บางทีบางท่านรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ว่าจิตมันฟุ้งซ่าน แต่แท้ที่จริงมันเกิดปัญญา ใครข้องใจอยู่ที่ไหน จิตใต้สำนึก มันยึดอะไรไว้ มันก็จะไปค้นคว้าอยู่ในสิ่งนั้น

บางท่านก็ว่าต้องให้มันอยู่ในกรอบแห่งธรรมะ ท่านผู้นี้เข้าใจ คำว่า ธรรมะ อยู่ในวงแคบ เข้าใจว่า ธรรมะ มีแต่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในเมื่อจิตไปถึงขั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วนี่ มันมีแต่ทุกสิ่งทุก อย่าง เกิดขึ้น ทรงอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ทรงอยู่ ดับไป จิตมันไม่ได้ว่าดอก อันนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พอมันจะเกิดความรู้ มันก็มาว่าเอาต่อเมื่อออกจากสมาธิมาแล้ว



ที่หลวงพ่อบอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นโลกวิทูในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิขั้นสมถะ ไม่มีใครเชื่อ หลวงพ่อเอาหลวงปู่เทสก์เป็นครู ไปกราบ จะไปถามปัญหาท่าน ปัญหาที่จะถามยังไม่ได้ถาม ท่านตอบก่อน พอไปกราบ

"เออ.. เจ้าคุณมาแล้ว ดีแล้ว จะพูดอะไรให้ฟัง ผมพูดแล้วไม่มีใครเชื่อ มีแต่เจ้าคุณองค์เดียวจะเชื่อผม"

พอเสร็จแล้วท่านบอกว่า สมาธิในฌานมันโง่ สมาธิในอริยมรรคมันฉลาด สมาธิในฌานมันไปรู้นิ่งอยู่ในสิ่งๆ เดียว สมาธิในอริยมรรค พอจิตสงบแล้วมันมี วิตก วิจาร วิตก ก็คือความคิดที่มันปรุงแต่งขึ้น วิจาร ก็คือสติที่รู้พร้อมอยู่ในขณะจิตนั้น เพราะฉะนั้น ในเมื่อจิตมันเกิดปรุงแต่ง บางทีมันรู้อยู่ข้างใน บางทีไปรู้อยู่ข้างนอก ผลที่มันมองเห็นได้ชัดก็คือ สติที่คอยจ้องรู้อยู่นั่นแหละ

ท่านบอกว่า บางทีจิตตัวหนึ่งมันปรุงแต่งไป อีกตัวหนึ่งมันเฝ้าดู ไปถึงจุดๆ หนึ่ง มันแยกเป็น ๓ มิติ มิติหนึ่ง คิดอยู่ไม่หยุด อีกมิติหนึ่ง เฝ้าดู อีกมิติหนึ่ง นิ่งเฉยอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย แล้ว ท่านบอกว่า

มิติที่คิดไม่หยุด คือ จิตเหนือสำนึก

ตัวที่เฝ้าดู คือ สติสัมปชัญญะ ตัวผู้รู้

ตัวนิ่งเฉยอยู่ คือ จิตใต้สำนึก ตัวคอยเก็บผลงาน

ท่านแยกแยะออกไปอย่างนี้



ทีนี้ในเมื่อมันปรุงไป ร่างกายหายไป เหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสว กิเลสทั้งหลายจะมาวนรอบจิต พอถึงความสว่างของ จิต มันจะตกไปๆๆ เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ ในที่สุดมันจะไป ถึงจุดที่เรียกว่า ฐีติภูตัง แบบหลวงปู่มั่นท่านอธิบายให้ฟัง

เพราะฉะนั้น ช่วงใดจิตต้องการสงบ นิ่ง สว่าง ให้มันสว่างไป ถ้าช่วงใดมันสงบแล้วเกิดความคิดผุดขึ้นๆๆ ปล่อยให้มันคิดไป เรา เอาสติอย่างเดียว แต่อย่าลืมว่า สิ่งที่จะพาให้เราพ้นทุกข์ สำเร็จอริยมรรคอริยผลจริงๆ นี่ คือ ศีล ๕ ข้อ ถ้าผู้สามารถรักษาศีล ๕ ให้ บริสุทธิ์สะอาดได้ ภาวนาไม่เป็นก็ไม่ตกนรก



ไปข้างบน